วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
Club logo
ชื่อเต็มสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
ฉายาเดอะแม็กพาย, เดอะทูน, สาลิกาดง
ก่อตั้งค.ศ. 1892
สนามสปอตส์ไดเรกต์อารีนา[1]
นิวคาสเซิล
ความจุ52,387 คน
เจ้าของไมค์ แอชลีย์
ประธานลี ชาร์นลีย์
ผู้จัดการสตีฟ แมคลาเรน[2]
ลีกพรีเมียร์ลีก
2014–15พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 15
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
 ฤดูกาลปัจจุบัน
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด (อังกฤษNewcastle United Football Club; ตัวย่อ: NUFC) เป็นทีมฟุตบอลอาชีพทีมหนึ่งในฟุตบอลลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ มีชื่อเล่นของทีมว่า "แม็กพายส์" ("สาลิกาดง" หรือ "กางเขนเหล็ก" ในภาษาไทย) แฟนของทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด จะมีชื่อเรียกว่า "ทูนอาร์มี" ซึ่งคำว่า "ทูน" นั้นเป็นภาษาแซกซัน คือคำว่า "ทาวน์" ที่แปลว่า "เมือง" [3]
ในฤดูกาลปัจจุบัน นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เล่นอยู่ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดประเทศอังกฤษ โดยมีคู่แข่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกัน คือ ซันเดอร์แลนด์ (Sunderland) และ มิดเดิลส์เบรอ (Middlesbrough)

ประวัติสโมสร[แก้]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก
หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี 1910 หลังจากเอาชนะบาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสันพาร์ก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะแอสตัน วิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี 1927 อีกด้วย
ในช่วงทศวรรษ 1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2-0 ในปี 1951 ชนะอาร์เซนอล 1-0 ในปี 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1 ในปี 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น แจคกี มิลเบิร์นบ็อบบี มิทเชลล์ และ สแตน เซมัวร์
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วยอินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (หรือถ้วยยูฟ่าคัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติง ลิสบอนเฟเยนูร์ด รอตเตอร์ดัม หรือ รีล ซาราโกซา และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมอุจเพสท์จากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วิน เดวีส์ไบรอัน ร็อบสันบ็อบบี มอนเคอร์ หรือแฟรงค์ คลาร์ก
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ จิมมี สมิธโทนี กรีน และเทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง มัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วย เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตีในปี 1974 และ 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1989
ในปี 1992 เควิน คีแกนได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นานก็ตาม
ในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะเลสเตอร์ ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2-0
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช

เปิดฉากความท้าทาย
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดังเช่นดาวิด ชิโนลาและเลส เฟอร์ดินานด์มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน เกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 ล้านปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1996

ช่วงปัญหา
คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม ปี 1997 และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รืด คึลลิตก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่นมาร์เซลิโน กองหลังชาวสเปน และซิลวิโอ มาริช มิดฟิลด์โครเอเชีย นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป

ยุคแห่งความสำเร็จ
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ชาวจอร์ดี เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมแอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์เคร็ก เบลลามี่ และโลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพ
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนา และ อินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับพาร์ทิซาน เบลเกรด จนต้องตกลงไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพแทน และจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 รวมทั้งเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูฟ่าคัพ แต่หลังจากนั้นทางสโมสรได้ทำการปลด เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ในเดือนสิงหาคม 2004 และได้แต่งตั้งแกรม ซูเนสเป็นผู้จัดการทีม

ช่วงที่น่าผิดหวัง
ในฤดูกาล 2004-2005แกรม ซูเนสได้เซ็นสัญญาไมเคิล โอเวนมาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006ได้อย่างย่ำแย่ เกล็น โรเดอร์ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่แอลัน เชียเรอร์ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล เกล็น โรเดอร์ ได้พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วยยูฟ่าคัพในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2006-2007 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 และ เกล็น โรเดอร์ลาออกจากผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้แต่งตั้งแซม อัลลาไดซ์ เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 15 พฤษภาคม 2007 และในวันที่ 7 มิถุนายน 2007 บอร์ดบริหารสโมสรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ เฟรดดี้ เชฟเฟริด ผู้บริหารสโมสรในขณะนั้นได้ตัดสินใจขายสโมสรให้แก่ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา
ในฤดูกาล2007-2008 แซม อัลลาไดซ์ ได้เซ็นสัญญานักแตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, แอลัน สมิธ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว6ล้านปอนด์, ดาวิด โรเซนนาล, เคลาดิโอ คาซาป้า, โจอี้ บาร์ตัน เป็นต้นแต่นักเตะที่ซื้อมากับทำผลงานได้ย่ำแย่และทำให้ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตารางรวมถึงในเกมส์ในบ้านที่แพ้ลิเวอร์พูล 3-0 ชนิดว่าไม่มีลุ้นทำให้มีเสียงโห่จากแฟนนิวคาสเซิ่ลจำนวนมากในเซนต์ เจมส์ พาร์กก่อนที่แซมจะโดนปลดออกในวันที่ 9 มกราคม 2008 และแทนที่ด้วยเควิน คีแกนที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งโดยเซ็นสัญญา 3 ปี ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและจบฤดูกาลด้วยอันดับ12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างเควิน คีแกนกับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ 4 กันยายน 2008เควิน คีแกนได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ โจ คินเนียร์ อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 26 กันยายน 2008 แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 โจ คินเนียร์เกิดมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคหัวใจ ทำให้สโมสรต้องเรียกแอลัน เชียเรอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด

การตกชั้น
นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้แอสตันวิลลา 1-0 ที่วิลลาพาร์ก ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นานแอลัน เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมีคริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเวนมาร์ค วิดูก้าดาวิด เอ็ดการ์โอบาเฟมี มาร์ตินส์เชย์ กิฟเวนเซบาสเตียน บาสซงเดเมียน ดัฟฟ์ และ ฮาบิบ เบย์ ออกไป พร้อมทั้งมีข่าวว่าเควิน คีแกนอดีตผู้จัดการทีมและขวัญใจแฟนนิวคาสเซิ่ลได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3ปีก่อนคีแกนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2ล้านปอนด์หรือ112ล้านบาทโดยในเหตุการ์ณครั้งนั้นคีแกนไม่พอใจที่โดนเดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะโดยคีแกนไม่พอใจที่ขายเจมส์ มิลเนอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษของทีมให้แอสตัน วิลล่ารวมถึงการซื้อซิสโก้ กองหน้าชาวสเปนและอิ๊กนาซิโอ กอนซาเลซ นักเตะชาวอุรุกวัยโดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน พร้อมกับทางสโมสรพยายามปล่อยตัวโจอี้ บาร์ตัน กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกมาโดยที่ขัดแย้งกับคีแกนซึ่งพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100 ล้านปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ นิวคาสเซิ่ลก็สามารถคว้านักเตะเสริมทัพได้โดยเป็นแดนนี่ ซิมป์สัน มาจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในสัญญายืมตัว ยืมมาร์ลอน แฮร์วู้ดมาจากแอสตัน วิลล่าและเซ็นสัญญาคว้าตัวปีเตอร์ โลเวนครานด์กับฟาบริซ ป็องครัตมาแบบไร้ค่าตัว โดยผลงานของนิวคาสเซิ่ลในนัดเปิดฤดูกาล2009/2010สามารถบุกไปเสมอเวสบรอมวิช อัลเบี้ยน ได้ 1-1 เมื่อถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2009 ไมค์ แอชลีย์ ก็ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจซื้อสโมสรได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง คริส ฮิวจ์ตันเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ

กลับสู่พรีเมียร์ลีก
ในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพฤดูกาล 2009-2010 นิวคาสเซิลสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าแชมป์ เดอะแชมเปี่ยนชิพมาครองได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติในวันที่ 5 เมษายน 2010 ทั้งที่ยังเหลือเกมแข่งขันอีก 5 นัด
ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง อาร์เซนอล แอสตันวิลล่า รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ทำให้คริส ฮิวตัน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอลนิวคาสเซิล แต่หลังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมเวสบรอมวิส อัลเบียน ซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกันด้วยสกอร์ 1-3 คริส ฮิวตัน ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 ธันวาคม 2010 โดยมี แอลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยได้สัญญาระยะยาว 5 ปี ครึ่ง ในวันที่ 31 มกราคม 2011 สโมสรได้ปล่อย แอนดี้ คาร์โรลล์ เด็กปั้นของสโมสรแก่ทีมลิเวอร์พูล ด้วยราคาสูงลิ่วถึง 35 ล้านปอนด์ และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12

เดินหน้าสู่ถ้วยยุโรปอีกครั้ง
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 แอลัน พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนแลน, โจอี้ บาร์ตัน, และ โจเซ่ เอ็นริเก้ ออกจากทีม และเรียก ทิม ครูล มาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 แทน สตีฟ ฮาร์เปอร์ และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่ ๆ เข้ามาเช่น โยฮัน กาบาย, ดาวิเด้ ซานตอน, และ เดมบา บา ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครอย่างต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นเกมแรก และยังสามารถเอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ่ และ ฮาเทม เบนอาร์กฟา ทำให้ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 และได้ไปเตะในรายการยูฟ่า ยูโรป้าลีกในฤดูกาลหน้า และแอลัน พาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย  
::https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%94

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น